วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Sun & Solar Strom "รู้จักดวงอาทิตย์ และ การเกิดพายุสุริยะ"

"พายุสุริยะ Solar Strom "




ภาพจากภาพยนต์ Knowing จำลองการเกิดพายุสุริยะ ทำลายล้างโลก สิ่งเหล่านี้จะเกิดข้นหรือไม่
มาค้นหากันครับ

ดวงอาทิตย์ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ดวงอาทิตย์ คือ ดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง และด้านในสุดเป็นบริเวณที่เป็นแหล่งพลังงาน เรียกว่า แกนกลาง (Core) ซึ่งจะเป็นบริเวณที่ร้อนที่สุด จากแกนกลางจะร้อนออกไปสู่ด้านนอกของดางอาทิตย์ แหล่งพลังงานจากแกนกลางมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ เป็นการเผาธาตุไฮโดรเจนเป็นธาตุฮีเลียม และการที่มีมวลแตกต่างกันเล็กน้อย ตามทฤษฎีของไอน์สไตน์ E=mc2 เป็นการแปลงมวลส่วนหนึ่งให้เป็นพลังงาน และนี่เป็นแหล่งพลังงานหลักของดาวฤกษ์โดยทั่วไป















แกนกลางของดวงอาทิตย์นั้น มีอุณหภูมิ 16 ล้านองศา จากนั้นความร้อนจะออกไปในเขตที่แผ่รังสี ซึ่งมีตั้งแต่แกนกลางจนถึงรัศมีที่เป็นแกนกลางจนถึงรัศมี 70% ของรัศมีของดวงอาทิตย์ ในบริเวณนี้มีการนำความร้อนและจะดูดกลืนอะตอมถัดไปในลักษณะการฟุ้ง ความร้อนจะค่อยๆ ฟุ้งออกไป กว่าความร้อนจะออกจากดวงอาทิตย์ได้ก็ใช้เวลาเป็นแสนๆ ปี

เขตการพา คือ การถ่ายโอนความร้อนโดย 70% ของรัศมีดวงอาทิตย์ จนถึงผิวดวงอาทิตย์ การพาเป็นลักษณะที่สามารถปรากฏได้ในบรรยากาศโลกเช่นเดียวกัน เช่น เมื่ออากาศร้อนจะเบากว่า จะลอยขึ้นไปและเมื่ออยู่ด้านบนจะถ่ายโอนความร้อนได้ ก็จะเย็นลง และจะตกเข้าไปใหม่ เพราะอากาศเย็นจะหนักกว่า จะตกเข้าไปใหม่ จะเป็นวัฏจักรแบบนี้ แก๊สจะหมุนเวียนเป็นช่วงๆ มีเขตที่ขึ้นและเขตที่ลง สามารถพบได้ในบรรยากาศโลกเช่นกัน ยกตัวอย่างเวลาอยู่บนเครื่องบินแล้วเห็นเมฆเรียงกันเป็นแถว


รูปนี้แสดงให้เห็นจุดมืดของดวง อาทิตย์ ด้านข้างที่เห็นเป็นเซลล์ของการผ่า ที่สว่างคือ แก๊สร้อนที่ขึ้นมา จากด้านล่าง เมื่อถ่ายโอนความร้อนแล้ว จะเย็น และตกลงด้านข้าง บริเวณที่มีสีมืดกว่า คือ ก๊าซที่เย็นแล้วกำลังจะตกเข้าไป

ถัดจากนั้นเรียกว่าผิวดวงอาทิตย์ เรียกว่า Photosphere ถ้าดูรูปในแสงธรรมดา จะเห็นว่ามีจุดมืดบ้าง บางคนเรียกว่าจุดดับ ส่วนนักวิชาการไทยนิยมเรียกว่า จุดมืด ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้มืด สว่างมากด้วย เพียงแต่สว่างน้อยกว่าบริเวณล้อมรอบเท่านั้น ทางด้านฟิสิกส์ ความสว่างอาจจะเกิดจากรังสีความร้อน และดาวฤกษ์โดยทั่วไปสามารถเปล่งแสงที่มองเห็นได้ ด้วยรังสีความร้อน เพราะฉะนั้นจะขึ้นกับอุณหภูมิ

โดยส่วนใหญ่อุณหภูมิของดวงอาทิตย์ อยู่ที่ 6000 องศา จึงเปล่งแสงที่มองเห็นได้ แต่ในบริเวณของจุดมืดมีอุณหภูมิ 4000 องศา ทำให้สว่างน้อยกว่า

จุดมืดจริงๆ เป็นขั้วแม่เหล็ก เราจะคุ้นเคยกับการที่โลกเรามีขั้วสองด้าน โลกของเราจะมีสนามแม่เหล็กที่เป็นระเบียบ ออกจากขั้วหนึ่งกลับเข้าไปอีกขั้วหนึ่ง แต่ดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์โดยทั่วไปมีสนามแม่เหล็กที่ไม่เป็นระเบียบและเมื่อ เราเห็นจุดมืด เราจะเห็นเป็นคู่หรือกลุ่ม เป็นเพราะว่าเป็นขั้วแม่เหล็กออกจากจุดหนึ่งและกลับไปยังอีกจุดหนึ่ง

จุดมืดมีโครงสร้างที่น่าสนใจ ตรงกลาง เรียกว่า umbra (เงามืด) ที่มืดสนิท และล้อมรอบเป็น penumbra (เงามัว) ที่มีเส้นๆ เส้นแรงแม่เหล็กเช่นเดียวกัน บ่อยครั้งที่แก๊สของดวงอาทิตย์จะถูกค้างไว้ตามเส้นแรงแม่เหล็ก เมื่อเราสอนนักเรียน เราจะเรียกว่าแก๊ส แต่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า พลาสมา เป็นแก๊สที่แตกตัวเป็นไอออนกับอิเล็กตรอนแล้ว เป็นตัวนำไฟฟ้าด้วย เพราะฉะนั้นจะมีการตอบสนองกับสนามแม่เหล็กเป็นพิเศษ

เราจะเคยเรียนว่า เมื่อมีสนามแม่เหล็ก อนุภาคมีประจุ ก็จะเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบๆ สนามแม่เหล็ก และยิ่งไปกว่านั้น สามารถเคลื่อนที่ขนานกับสนามแม่เหล็กได้ หรือเคลื่อนที่เป็นเกลียวล้อมรอบสนามแม่เหล็ก อนุภาคมีประจุ จะผูกไว้กับสนามแม่เหล็ก ถ้าสนามแม่เหล็กแรง พลาสมาจะค้างไว้ตามสนามแม่เหล็ก แต่ถ้าพลาสมาเคลื่อนที่เร็ว จะสามารถลากสนามแม่เหล็กไปด้วย


หากเรามองจากผิวโลก เราสามารถเห็นชั้นบรรยากาศเหนือผิวดวงอาทิตย์ได้ เมื่อเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง โชคดีมากที่เมื่อมองจากโลกของเรา ดวงจันทร์ในท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ในท้องฟ้า จะมีขนาดเท่าๆ กัน เป็นเรื่องบังเอิญมาก และเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่มาบังดวงอาทิตย์พอดี เราจะสามารถเห็นชั้นบรรยากาศที่ล้อมรอบดวงอาทิตย์





ถัดจากชั้นบรรยากาศ Photosphere เป็นชั้น Chromosphere มีอุณหภูมิลดลง เป็น 4000 องศา เพราะฉะนั้นลักษณะของแสงจะเปลี่ยนตามอุณหภูมิ กลายเป็นแสงสีแดง

ถัดมาเป็น Corona ซึ่งอุณหภูมิจะขึ้นมาอีกเป็นล้านองศา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้สมบูรณ์ ลักษณะการเปล่งรังสีความร้อนจะเปลี่ยนไปด้วย คือ แทนที่จะเปล่งรังสีความร้อนเป็นแสงที่มองเห็นได้ กลับเปลี่ยนเป็นเปล่งรังสีเอกซ์แทน มีประโยชน์ในการติดตั้งอุปกรณ์ในอวกาศ เพื่อถ่ายภาพดวงอาทิตย์ในรังสีเอกซ์ ถ่ายจากโลกไม่ได้ เพราะรังสีเอกซ์ผ่านบรรยากาศโลกไม่ได้

ภาพพลาสมาที่ค้างอยู่ที่สนามแม่เหล็กที่เป็นเส้นๆ เป็นภาพที่ถ่ายในช่วง Solar Maximum คือช่วงจุดมืดจำนวนมาก วัฏจักรของดวงอาทิตย์ของจุดมืด Sunspot จุดมืดจะมีมากขึ้นทุกๆ 11 ปี บางช่วงจุดมืดจะน้อยมาก หรือบางช่วงจะไม่มีจุดมืดเลย จะพบการมีจุดมืดจำนวนมากอีกประมาณ 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งนักดาราศาสตร์ยังไม่สามารถบอกได้ว่าทำใมวัฏจักรต้องเป็น 11 ปี และดาวฤกษ์ทั่วไปด้วยที่มีวัฏจักรแบบนี้ ไม่ใช่เฉพาะดวงอาทิตย์ของเราเท่านั้น

บรรยากาศของดวงอาทิตย์ไม่ได้นิ่ง แต่มีส่วนที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ทุกทิศทาง ด้วยความเร็วสูง ระดับ 400กิโลเมตรต่อวินาที เรียกว่าลมสุริยะ สามารถกระทบสนามแม่เหล็กของโลกได้เช่นเดียวกัน ทุกวันจะมีการบีบสนามแม่เหล็กของโลกเข้ามา เนื่องจากลมสุริยะ ซึ่งจัดว่าเป็นสภาวะปกติ สรุปว่า สสารจากดวงอาทิตย์ ไม่ได้จบแค่ดวงอาทิตย์แต่แผ่ออกมาข้างนอก เลยโลกเราไปอีก แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าไปไกลเท่าไร (ลมสุริยะเกิดขึ้นทุกวันเป็นปกติ)

จากที่ได้กล่าวแล้วว่า เมื่อพลาสมาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง จะสามารถลากสนามแม่เหล็กออกมาด้วย พลาสมาที่ออกจากดวงอาทิตย์ที่เป็นลมสุริยะจะลากสนามแม่เหล็กออกจากดวง อาทิตย์ด้วย และที่สนามแม่เหล็กเป็นเส้นโค้งงอ เพราะดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง นอกจากนี้ยังมีความปั่นป่วนด้วย โดยทั่วไปทางด้านฟิสิกส์ เมื่อมีของไหลที่ไหลด้วยความเร็วสูง มักจะมีความปั่นป่วนด้วย ทำให้เกิดเป็นเส้นหยักๆ เป็นความสัมพันธ์ของการเคลื่อนที่ของอนุภาค ที่เราทำงานวิจัยมากในประเทศไทยนั้น จะเป็นเรื่องอนุภาคพลังงานสูงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งมักจะตามสนามแม่เหล็ก ความหยักหรือความไม่เป็นระเบียบของสนามแม่เหล็ก จะสัมพันธ์กับการเคลื่อนที่ของอนุภาค **


"Solar Strom พายุสุริยะ คืออะไร และจะเกิดขึ้นปีใน 2012 หรือไม่"





พายุสุริยะไม่เคยทำลายสิ่งปลูกสร้าง หรือทำลายผู้คนให้ล้มตายหรือบาดเจ็บ อาจจะกระทบทางด้านเศรษฐกิจบ้าง พายุสุริยะจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่มีจุดมืดจำนวนมากบนดวงอาทิตย์ พายุสุริยะมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มจุดมืดของดวงอาทิตย์

พายุสุริยะเกิดจากการสะสมพลังงานแม่เหล็ก เมื่อมีสนามแม่เหล็ก การผ่าใต้ผิวดวงอาทิตย์จะมีสนามแม่เหล็ก การผ่าจะลากสนามแม่เหล็กไปๆ มาๆ จนในที่สุดขมวดกันเป็นปม จะเพิ่มพลังงานศักย์ทางสนามแม่เหล็กซึ่งจะระบายได้โดยการเปลี่ยนรูปสนามแม่ เหล็ก ต่อเชื่อมใหม่ของสนามแม่เหล็ก ซึ่งเป็นสถาณการ์ที่เกิดขึ้นกระทันหัน และเป็นครั้งเป็นคราว และพยากรณ์ล่วงหน้าไม่ได้ แต่เราสามารถสังเกตได้ว่า เริ่มมีจุดมืดจำนวนมากหรือกลุ่มจุดมืดที่มีความสลับซับซ้อน สนามแม่เหล็กซับซ้อน เราจะสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีโอกาสที่จะเกิดพายุสุริยะ
สรุปว่า พายุสุริยะเป็นการระเบิดเป็นครั้งเป็นคราว ที่เกิดจากการต่อใหม่ของสนามแม่เหล็ก ในทางฟิสิกส์เรารู้ว่าจะต้องอนุรักษ์พลังงาน จะเปลี่ยนรูปของพลังงาน คือ เปลี่ยนรูปจากพลังงานแม่เหล็กมาเป็นพลังงานความร้อน ซึ่งเรียกว่าการปะทุ



โลกและสนามแม่ เหล็กโลก ลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ที่อยู่ทางซ้ายมือ จะบีบสนามแม่เหล็กโลก เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นปกติทุกวัน และขณะโลกหมุนรอบตัวเอง จะมีสนามแม่เหล็กในแต่ละลักษณะ แต่เมื่อมีพายุสุริยะ จะมีก้อนมวลออกมา Coronal Mass Ejection (CME) เข้ามาปะทะกับสนามแม่เหล็กโลก บีบสนามแม่เหล็กเข้ามา และมองใกล้ดวงอาทิตย์ มีอนุภาคค้างไว้ตามสนามแม่เหล็กของโลกตามธรรมชาติ เรียกว่าแถบรังสี และเมื่อสนามแม่เหล็กบีบเข้ามา อนุภาคเหล่านี้จะเข้ามาชนบรรยากาศโลก ใกล้ขั้วโลกที่สนามแม่เหล็กเข้าไป เมื่ออนุภาคชนกับบรรยากาศจะทำให้มีแสงสวยงามเกิดขึ้น ที่เรียกว่า Aurora (แสงเหนือแสงใต้)

ถ้ามองจากพื้นโลกขึ้นไปบนท้องฟ้า จะเห็นแสงออโรร่า เมื่อมีพายุสุริยะแรงเป็นพิเศษ เราสามารถเห็นแสงออโรร่าได้ เช่น ที่ประเทศแคนาดา และหากพายุสุริยะแรงมาก แสงออโรร่าจะลงมาถึง ทางตอนใต้ของสหรัฐ แต่ประเทศไทยไม่สามารถเห็นแสงออโรร่าได้ เนื่องจากเส้นสิ้นสุดสนามแม่เหล็กพอดี

พายุสุริยะจะเกิดขึ้นบ่อยเมื่อมีจุดมืดมากในดวงอาทิตย์ บางครั้งเกิดทุกวัน หรือเกิดบ่อยครั้งต่อวัน แล้วแต่ความสนใจของนักวิทยาศาสตร์ ว่าจะศึกษาพายุสุริยะที่เกิดขึ้นตามปกติ หรือพายุสุริยะที่รุนแรงมาก หากพายุที่รุนแรงมากจะมีทุกขนาด แต่รุนแรงมากๆ จะมีเพียงไม่กี่ครั้งต่อวัฏจักร 11 ปี

การเกิดพายุสุริยะ นอกจากทำให้เกิดแสงสวยงาม ออโรร่าแล้ว หากมีระดับความรุนแรงมากทำให้มีผลกระทบทางเศรษฐกิจของมนุษย์ ผลกระทบโดยตรง คือ สภาพอวกาศ Space Weather เหมือนกับสภาพอากาศตรงที่พยากรณ์ยากและเกี่ยวข้องกับพายุ แต่เป็นพายุที่ดวงอาทิตย์ เกิดขึ้นในอวกาศใกล้โลก

พายุสุริยะหรือการระเบิดที่ผิวดวงอาทิตย์ามารถเร่งอนุภาคธรรมดา ให้มีพลังงานสูง จนกลายเป็นอนุภาครังสีคอสมิก รังสีคอสมิกเป็นอนุภาคพลังงานสูง หรือรังสีแกมมา ที่มาจากนอกโลกที่เคลื่อนที่ในอวกาศ

พายุสุริยะ สามารถเร่งอนุภาคพลังงานธรรมดาให้เป็นอนุภาคพลังงานสูง เรียกว่า อนุภาคพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์ Solar Energetic Particles (SEP) ซึ่งสามารถเคลื่อนที่มาถึงโลกเราได้ จะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักบินอวกาศ ทุกวันนี้นักบินอวกาศอยู่ภายใต้สนามแม่เหล็กโลก แต่หากออกจากสนามแม่เหล็กโลก แล้วเกิดพายุสุริยะในช่วงที่ออกจากสนามแม่เหล็กโลก จะเสี่ยงต่อการได้รับกัมมันตภาพรังสี ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้

The Galactic Shif "การเปลี่ยนระดับของกาแล็กซี่"








Prophetic Information About The Shift
ข้อมูลจากคำพยากรณ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนระดับ




การวิจัยเกี่ยวกับคำพยากรณ์มากมาย ของคนโบราณหลายๆเผ่า
แห่งแรกที่ฉัน ได้พบหลักฐานของการเปลี่ยนระดับนี้ คือในหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับปี 2012 ทั้งหลาย เช่น ของ Jose Arguelles, Carl Callemen และ John Major Jenkins ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ศึกษาคำพยากรณ์ต่างๆของชนเผ่ามายัน, อินคา และโฮบิ

งานวิจัยของพวกเขา เจาะลึกลงไปในคำพยากรณ์เหล่านี้ ได้เปิดเผยถึงคำพยากรณ์ที่คล้ายคลึงกันมากๆ
เกี่ยวกับการเปลี่ยนระดับครั้งยิ่ง ใหญ่ด้านจิตสำนึก ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้












ชนเผ่ามายัน ผู้ที่ได้บันทึกเวลาของโลกมานานกว่า 5000 ปีแล้วนั้น ได้สร้างปฏิทินแบบเข้ารหัส
หรือปฏิทินแห่งจักรวาลขึ้น ซึ่งสามารถใช้ติดตามตรวจสอบหาช่วงเวลาที่มนุษยชาติได้วิวัฒน์ผ่านมา

จนถึงช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงรูปแบบครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ได้



เพราะว่าปฏิทินนี้มีความถูกต้องแม่นยำเชื่อถือได้มานาน พวกเขาจึงใช้เพื่อตรวจหารอบต่างๆแห่งกาลเวลา
และก็พบว่าปี 2012 เป็นปีแห่งการครบรอบแห่งกาลเวลาหลายๆอย่างพร้อมกัน


- 26 ล้านรอบปีของโลก
- 78,000 รอบปีของโลก
- 26,000 รอบปีของปฏิทินชาวมายัน

เมื่อพิจารณาถึงคำพยากรณ์ต่างๆของชนเผ่าพื้นเมืองทั้งหลาย จะพบว่า ปี 2012
จะเป็นปีที่จะมีการพลิกผันประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติทั้งหมด รวมถึงประวัติศาสตร์ของโลก,
กาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเรา และบางทีอาจจะของทุกสรรพสิ่งด้วย

ซึ่ง นี่จะเป็นช่วงเวลาที่ทุกสรรพชีวิต จะได้ประสบกับการก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการ
เหมือนกับที่ตัวหนอนกลายไปเป็น ผีเสื้อก็ได้

ชาวมายันเชื่อว่า วิวัฒนาการของมนุษยชาติจะเกิดขึ้นตามรอบของเวลาเหล่านี้
การแสดงพื้นบ้านของพวกเขา, พิธีกรรมทางจิตวิญญาณของพวกเขา และหลักศาสนาของพวกเขา
แสดงถึงละครแห่งจักรวาล ที่เกิดจากการเล็งกันของดวงอาทิตย์ กับ ศูนย์กลางของกาแล็กซี่ในปี 2012

พวกเขาระบุว่าการเล็งกันในครั้งนี้ เป็นปฏิสัมพันธ์แห่งจักรวาลอย่างหนึ่ง ระหว่างพ่อคือดวงอาทิตย์
กับแม่คือศูนย์กลางของกาแล็กซี่ ซึ่งจะให้กำเนิดทุกสรรพสิ่งไปสู่มิติใหม่
กระบวนการตั้งครรภ์, การเกิด และการให้กำเนิดตัวอ่อน คือหัวใจหลักของธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านั้นของพวกเขา


ปฏิทินชื่อ Tzolkin ซึ่งเป็นปฏิทินชนิดหนึ่งของชาวมายัน อาศัยหลักการของ 260 วันของระยะตั้งครรภ์ของมนุษย์
ซึ่ง มันสอดคล้องกับจำนวน 26,000 ปีของปฏิทินมายัน ( 260 x 100 = 26,000)
ชาวมายันได้ใช้ปฏิทินนี้ในการตรวจหาช่วงเวลาแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์คนใดคนหนึ่ง
และของปฏิทินชาวมายัน 26,000 ปี ประดุจดังวิธีการตรวจติดตามวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์

ในมุมมองของชาวมายัน เวลาช่วงก่อนปีวันที่ 21 ธันวาคม 2012 โลกจะปรับเปลี่ยนระดับ
ขึ้นไปสู่ระดับจิตสำนึกแห่งผู้สูงส่ง (Christ Consciousness, God Consciousness,
Buddha Consciousness, Cosmic Consciousness, Higher Consciousness
และ Super Consciousness ล้วนมีความหมายในทำนองเดียวกันนะครับ – Chayutt)
และมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ไปสู่ความเป็นรูปธรรมชีวิตชั้นสูงทรงภูมิปัญญา

กระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของมนุษยชาตินี้ เปรียบเหมือนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของตัวหนอนผีเสื้อ
ไปเป็นผีเสื้อ และเรียกชื่อกระบวนการนี้ว่า “การเลื่อนระดับขึ้น”(Ascension)

ซึ่งคำว่า Ascension นี้ เป็นคำที่ใช้เฉพาะกับมนุษย์เท่านั้น และ Jose Arguelles
ได้ เขียนถึงเรื่องนี้เอาไว้ในหนังสือของเขาชื่อว่า “Earth Ascending”


ในมุมมองด้านโหราศาสตร์ พวกเรากำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากยุคของราศีมีน (Age of Pisces)
ไปสู่ยุคของราศีกุมภ์ (Age of Aquarius) เมื่อพวกเรามองเพียงทิศทางเดียว
พวก เราจะพบกับจุดสิ้นสุดของอิทธิพลของราศีมีน ซึ่งก็คือ การแข่งขัน และความขาดแคลน
และเมื่อเรามองดูใน อีกทิศทางหนึ่ง เราจะพบกับการแตกหน่อของอิทธิพลของราศีกุมภ์
นั่นก็คือ พันธมิตร และการแบ่งปันซึ่งกันและกัน

แม้การเปลี่ยนแปลงรูปแบบในครั้งนี้ จะทำให้เกิดความสับสนและความวิตกกังวลขึ้น
แต่มันก็เปิดประตูสู่โอกาสที่พิเศษเฉพาะ เพื่อการวิวัฒน์ให้แก่พวกเรา

.......................................................

The Galactic Shift
การเปลี่ยนระดับของกาแล็กซี่



ตอนนี้กำลังมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ชี้บ่งว่า ทั้งระบบสุริยจักรวาลของพวกเรา หรือบางทีอาจจะเป็นทั้งกาแล็กซี่นี้
กำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนระดับขึ้น

ศูนย์กลางของกาแล็กซี่ทางช้างเผือกของพวกเราคือหลุมดำ ที่มีมวลขนาดประมาณ 3.2 – 4.0 ล้านเท่า
ของมวลของดวงอาทิตย์ของเรา แต่มันถูกอัดแน่นอยู่ในปริมาตรขนาดเล็กกว่าวงโคจรของโลก
รอบดวงอาทิตย์ประมาณ 10 เท่า

ชนเผ่าพื้น เมืองหลายชนเผ่าในเม็กซิโก และในทวีปอเมริกาใต้ เชื่อว่าใจกลางกาแล็กซี่ หรือ ทูร่า (tura)
แผ่คลื่นความถี่ หรือโทนที่เรียกว่า “กี” (Ge) ออกมา และเชื่อว่าโทนนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเยียวยารักษาร่างกาย
และจิตใจของพวกเราได้เท่านั้น แต่มันยังนำความเป็นอมตะมาให้อีกด้วย

เกลียวคลื่นพลังของ “กี” ที่ว่านี้ หมายถึงคลื่นความถี่ ที่ถ่ายทอดออกมาจาก “ทูร่า” หรือศูนย์กลางกาแล็กซี่

ฉันเชื่อว่า เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ของเรา โลกของเรา และพวกเรา กำลังก้าวไปสู่จุดหักเหครั้งยิ่งใหญ่
ในปี 2012 ที่ซึ่งคลื่นความถี่นี้ จะมีความรุนแรงมากขึ้นอย่างมาก

ความสั่นสะเทือนของมัน กำลังกระตุ้น DNA ของพวกเรา และกำลังกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของพวกเรา
จากความเป็นมนุษย์โลก

นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียหลายคน ได้ค้นพบว่า พื้นที่ว่างใน DNA ของพวกเราประมาณ 97%
ไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่คิด พวกเขาเชื่อว่ามันเต็มไปด้วยบางอย่างที่เรียกว่า “พลังงานคลื่นบิดเกลียว”
(torsion wave energy) ฉันเชื่อว่าพลังงานนี้สามารถเรียกว่า “ความรัก”
หรือแม้แต่ “โทนแห่งกี” (Tone of Ge) ก็ได้

ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า พลังงานคลื่นบิดเกลียว ไม่ใช่แค่เพียงมีอิทธิพลต่อ DNA ของพวกเรา
และคอยบอก DNA ว่าจะต้องทำอะไรเท่านั้นจริงๆ แต่เพราะ DNA ของพวกเรา คือฮาร์ดไดรฟ์ที่มีชีวิต

ดังนั้น พลังงานคลื่นบิดเกลียว หรือพลังงานความรัก หรือโทนแห่งกีนี้
จึงทำปฏิกิริยากับจิตวิญญาณและหัวใจของพวกเรา

พลังงานจากจิตวิญญาณ และจากหัวใจของพวกเราจัดการกับพลังงานคลื่นบิดเกลียวนี้
และบอก DNA ว่ามันควรจะจัดเรียงตัวเองอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้ ไม่เพียงแต่จะสร้างร่างกายเนื้อของพวกเรา
แต่จะสร้างทั้งหมดของความเป็นเรา ฉันเชื่อว่า ชนเผ่ามายันโบราณ และชนเผ่าพื้นเมืองอื่นๆ
ได้เคยรู้และเข้าใจเรื่องนี้แล้ว

วิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุด ที่จะกระตุ้น DNA ของคุณ และเร่งกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นของคุณ
ในระหว่างที่ดาวเคราะห์โลกกำลังเคลื่อนไปสู่โซนที่มีพลังงานสูงขึ้นของกาแล็กซี่นี้
ก็คือ การสำคัญตัวเองว่าเป็นคุรุ โดยใช้คำปฏิญาณต่อไปนี้

...ฉันควรจะพูดอะไร และกับใคร? พูดเหมือนกับที่เราพูดเรื่องอื่นๆหนะแหละ
คำตอบของมันง่ายดายยิ่งกว่าที่คุณคิดไว้เสียอีก คุณต้องอยู่ลำพังคนเดียว
จากนั้น ด้วยความมีสมาธิที่ตั้งมั่น จากนั้น ไปอยู่ต่อหน้าครอบครัว (จิตวิญญาณ)
แล้วกล่าวเรื่องราวของคุณออกมา อะไรก็ตามแต่ที่คุณพูด มันจะกลายเป็นการเขียนบันทึกใหม่
(สู่บันทึกแห่งอกาชิ – Akashic record หรือ บันทึกแห่งฟ้า-ที่เกี่ยวข้องกับภพชาติที่ผ่านๆมาของคุณ)
เพราะว่าพลังงานของโลก จะคอยตอบสนองความปรารถนาโดยสมัครใจของมนุษย์อยู่แล้ว

พูดมันออกมาดังๆ เพื่อให้เซลในร่างกายของคุณได้ยินมันด้วย พูดมันออกมาสู่อากาศด้วย
อธิบายว่า คุณขอยกเลิกคำปฏิญาณเก่าแล้ว แล้วต้องการใช้คำปฏิญาณใหม่นี้แทน
บางทีคุณอาจจะปฏิญาณเพื่อให้ได้ความเป็นคุรุก็ได้ ? หรือบางทีคุณอาจจะสัญญากับตัวเอง
เพื่อทำประโยชน์แก่มนุษยชาติก็ได้

…คำปฏิญาณแห่งความเป็นคุรุ จะเปิดโอกาสให้พลังงานเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวคุณ
เพราะว่ากล่องเครื่องมือจะถูกเปิดออก และสำหรับมนุษย์ที่คิดอยู่เสมอๆเกี่ยวกับตัวเองว่า
จะเริ่มต้นกระตุ้นชั้นของการเลื่อนระดับขึ้นของ DNA

จากนั้นประตูสู่ความเป็นดาวเคราะห์แห่งสันติ สุข ก็เริ่มเปิดออก และจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ที่จะก้าวผ่านไปได้ในตอนแรก จากนั้นก็ควรจะมีมากขึ้น และมากขึ้น ที่พวกเขาเลือกที่จะมองเห็นมัน
(Kryon/Carroll, Sedona Journal of Emergence, February, 2004:19).

คำปฏิญาณแห่งความเป็นคุรุ ไม่ควรจะทำแบบสบายๆ เพราะว่าหากทำเช่นนั้น
คุณจะไป กระตุ้นฟั่นเกลียว DNA เส้นที่ 3 ของคุณ

ฉันก็ไม่แน่ใจนักว่ามันหมายความว่าอะไร แต่ฉันเดาว่า คุณจะพบว่ามันยากกว่าที่จะละเลยโอกาส
สำหรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคุณ

......................................................


"ปริศนาสยอง" แห่ง.."นอสตราดามุส"




ศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน ผู้สนใจศึกษาตีความคำพยากรณ์
ของ “นอสตราดามุส” ผู้เรียบเรียงหนังสือเรื่อง “นอสตราดามุส ผู้บันทึกประวัติศาสตร์จากอนาคต” วิเคราะห์ว่า...

สงครามครั้งล่าสุดนี้ถูกระบุอยู่ในคำทำนายของ “นอสตราดามุส”
เป็นคำทำนายที่ต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรดฯ ที่
สหรัฐ โดยในโคลงบทที่ 72 ในหนังสือเดอะเซ็นจูรี่ 10 แปลความ
ได้ว่า... “ในปี 1999 เดือนที่เจ็ด (กรกฎาคม) จอมมหากาฬ โผล่มา
จากฟากฟ้า ปลุกฟื้นคืนชีพองค์เจ้ายิ่งใหญ่แห่งชนชาวมองโกล ช่วงก่อนและหลัง มาร์ส (สงคราม หรือเทพเจ้าแห่งสงคราม) จะครอบคลุมอย่างหฤหรรษ์”
“แต่เดิมโคลงบทนี้ไม่มีใครสามารถตีความได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไหน-อย่างไร ต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรดฯ ทุกคนจึงเข้าใจว่านอสตราดามุส ได้ทำนายไว้แล้วว่า หลังจากเดือน 7 ปี 1999 เป็นต้นมาจะมีเหตุการณ์จอมมหากาฬ โผล่มาจากฟากฟ้า หลังจากนี้แล้ว โลกจะเกิดวิกฤติ สงครามรุนแรงจะเกิดขึ้นเป็นระยะ พร้อมด้วย โรคระบาด เกิดความอดอยาก เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ” ...ศ.เจริญกล่าว
จึงเป็นเรื่องที่น่าขบคิด เมื่อ “สงคราม” ครั้งนี้เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับ “หวัดมรณะ” โรคระบาดพันธุ์ใหม่...! แต่ยังมีอีกโคลงอีกบทที่โลกยังรอให้ปริศนาถูกเฉลย...!?!

“มาบูซ จะตายในไม่ช้า จะมีการ ฆ่าหมู่ คนและสัตว์อย่างน่าสยดสยอง ทันใดนั้น การแก้แค้น จะปรากฏขึ้นจาก ร้อยแผ่นดิน ความกระหาย อดอยาก จะเกิดขึ้นเมื่อดาวโคจรผ่านมา” (ซ.2 ค.62)

“มาบูซ” นั้นหมายถึงใคร ???
“ซัดดัม” สะกดเป็นภาษาอังกฤษเขียนได้ว่า “Sudam” หากมองคำนี้ในกระจกเงา ก็จะเห็นคำที่ชวนขนหัวลุกอ่านได้คล้ายคำว่า “มาบูซ” ตรงกับชื่อในคำทำนาย
จุดเริ่มต้นของคำทำนายนอสตราดามุที่สร้างความเชื่อให้กับมวลมนุษย์ได้แก่ สังคมมนุษย์ผู้ต่อต้านพระคริสต์ (แอนตี้ไครสต์) 3 ราย แต่ละคนมีเป้าหมายทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยแท้จริง คนแรกที่กล่าวกันคือ จักรพรรดิ์นโปเลียนซึ่งผิด ถูกหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่หลายคนยังถกเถียงกันอยู่ ที่ชัดเจนที่สุดคือตลอดระยะเวลา 14 ปีที่นโปเลียนครองราชย์นั้นทำให้คนเสียชีวิตไปมากกว่า2 ,000,000 คน
ผู้ต่อต้านพระคริสต์คนที่ 2 ตามคำทำนายได้แก่"ฮิสเตอร์"ซึ่งใกล้เคียงกับชื่อของ"อด๊อฟ ฮิตเลอร์"ผู้นำนาซีเยอรมันที่ทำให้ผู้คนล้มตายไปกว่า 50 ล้านคน
และผู้ทำลายโลกต่อต้านพระคริสต์คนที่ 3 นอสตราดามุสได้เขียนชื่อด้วยภาษาโรมันว่า "มาบูซ (Mabus)" ซึ่งหลายคนนำไปตีความและคาดเดาว่าน่าจะเป็น"ซัดดัม (Sudam)" ผู้ก่อสงครามอ่าวเปอร์ เพราะชื่อของเขาอ่านกลับด้านและเขียนด้วยภาษาอังกฤษแล้วอ่านได้ว่า"มาบูซ"
ที่มา http://rdd.mcot.net/np/46/03/24/64.htm

สาสน์ข้อที่ 3 ของแม่พระฟาติมา

"การลงโทษจะมาอย่างแน่นอน เมื่อบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีตำแหน่งสำคัญถูกฆาตกรรม เหตุการณ์นี้จะก่อให้เกิดมติที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหานั่นคือ กองทัพที่มีพลังมหาศาลจะบุกเข้าสู่ยุโรป แล้วสงครามนิวเคลียร์จะเริ่มขึ้น มันจะทำลายทุกสิ่ง ความมืดจะครอบคลุมโลกเป็นเวลา 72 ชั่วโมง และ 1 ใน 3 ของมนุษย์ชาติซึ่งจะมีชีวิตรอดจากช่วงเวลาแห่งความมืด 72 ชั่วโมงนั้นจะเข้าสู่ ชีวิตในยุคใหม่และเป็นคนดี"

คำทำนายจากทั้งสองแหล่งนี้สอดคล้องกันอย่างน่าประหลาด ตามความเห็นของผมขอเดาว่า "มาบูซ" น่าจะเป็นคนใดคนหนึ่งในสามคนนี้

ทฤษฎี"อะไรคือผลกระทบต่อเรา เมื่อแกนโลกพลิกกลับ"

What are the Implications for Earth and for Me?
อะไรคือผลกระทบ ที่จะมีต่อโลกและต่อฉัน ?




















มาดูกันที่โลกก่อน,

โลก-โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างทางแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก
การเรียงตัวกันของดวงดาวในปี 2012 คาดกันว่า
จะมีส่วนร่วมทำให้โลกเกิดการสลับขั้วของขั้วแม่เหล็กโลกด้วย
สีทั้งสองสีในภาพนี้ แสดงให้เห็นพลังงานจากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้
ในบางช่วงเวลาที่นักวิทยาศาสตร์หลายคน ได้เฝ้าติดตามดูโครงสร้าง
ทางแม่ เหล็กไฟฟ้าของโลกทั้งสองส่วนนี้อย่างใกล้ชิด

- สนามไฟฟ้า (ที่กำลังพุ่งลงมา)
- สนามแม่เหล็ก หรือ Schumann resonance (ที่กำลังพุ่งขึ้น)

ค่าชูมาน์เรโซแนนซ์ (The Schumann resonance) หรือที่รู้จักกันในนามของ “ชีพจรของโลก”
(Earth’s heartbeat) ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากค่าปกติ 7.8 รอบต่อวินาที
หรือ ขึ้นลงอยู่ราวๆ 9 -11 รอบต่อวินาที ซึ่งคาดว่ามันจะเพิ่มขึ้นจนเป็น 13 รอบต่อวินาที
ซึ่งเป็นค่าความถี่ของ “ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข”

นาย เกรกก์ บราเดน (Gregg Braden) นักธรณีวิทยาผู้ที่กำลังทำการศึกษาเรื่องนี้อยู่
เรียกสถานที่ๆความถี่ชูมาน์ หรือความถี่คลื่นแม่เหล็ก และความถี่คลื่นไฟฟ้ามาตัดกันว่า

จุด ศูนย์” (Zero point)

มันปรากฏชัดว่า การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก จะเชื่อมโยงอยู่กับวัฏจักรกาแล็กซี่
และวัฏจักรสุริยะ

หลายคนก็มีความเชื่อคล้ายๆกับบราเดนว่า ขั้วแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกจะเปลี่ยน
เมื่อเข้าใกล้ Zero point

จากการสำรวจทางธรณีวิทยาหลายครั้ง ในแนวสันแอตแลนติกตอนกลางชี้บ่งว่า
แนวสันนี้ ได้เคยเกิดอะไรบางอย่างขึ้นมาก่อนราวๆ 171 ครั้ง ในประวัติศาสตร์ของโลก











นี่คือหน้าตาของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกอีกแบบหนึ่ง คุณจะเห็นว่าตอนนี้ มีจุดสีส้มมากมาย
กำลังมาปรากฏอยู่ที่บริเวณส่วนบนของพื้นที่สีฟ้า และมีจุดสีฟ้ามากมาย
กำลังปรากฏอยู่ที่ส่วนล่างของพื้นที่สีส้ม

นักวิทยาศาสตร์หลายคน ที่คอยแกะรอยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อยู่เชื่อว่า
การสลับขั้วของแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้

ภาพนี้แสดงให้เห็นว่า มันจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร หากว่าเรามองเห็นมันได้จากนอกโลก

ตัวอย่าง เช่น ในเดือนมีนาคมปีนี้ (2009) นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์หลายคน
กำลังทำงานร่วมกับนักธรณีวิทยาหลายคน และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์อีกหลายคนในอินเดีย
เพื่อสร้างแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ ที่พยากรณ์ปรากฏการณ์การพลิกกลับด้าน
ของขั้วแม่เหล็กโลกในปี 2012

ในขณะที่โลกเคลื่อนผ่านการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ พวกเราทุกคนต้องการรู้ว่า

“สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อฉันอย่างไร?”

เราจะมาหาคำตอบของคำถามนี้กัน โดยดูที่ภาพต่อไปนี้



ภาพนี้มันแสดงให้เห็นว่า ตัวคุณ ดาวเคราะห์โลก และดวงอาทิตย์ เชื่อมโยงกัน
และปฏิบัติการเหมือนเป็นระบบถ่ายทอดสัญญาณอย่างไร

ภาพนี้แสดงให้เห็นสองอย่าง อย่างแรกคือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวคุณกับดาวเคราะห์โลก และดวงอาทิตย์
อย่างที่สองคือ ทั้งหมดนี้ เชื่อมโยงและปฏิบัติการเหมือนเป็นระบบถ่ายทอดสัญญาณอย่างไร

วงกลมที่อยู่ด้านล่างของภาพนี้ คือตัวคุณ คุณจะเห็นว่า ภาพวงกลมที่แสดงตัวคุณนี้
จะมีสมองอยู่สองส่วนคือ ซีกซ้ายและซีกขวา ซึ่งจะแทนด้วยสีสว่างและสีมืดตามลำดับ
และคุณก็จะเห็นว่า มันมีเส้นวงของการกำทอนกัน (resonance) และพลังงานแห่งการปฏิสัมพันธ์
ระหว่าง ตัวคุณกับโลกอยู่

วงกลมด้านบนของรูปภาพ หมายถึงดวงอาทิตย์ คุณจะเห็นว่า มันมีทั้งซีกซ้ายและซีกขวา
รวมถึง ด้านสว่างและด้านมืดด้วยเช่นเดียวกัน และมันก็ยังมีเส้นวงแห่งการกำทอนกัน
และพลังงานแห่งการปฏิสัมพันธ์ระหว่างดวงอาทิตย์กับ โลกอยู่อีกด้วย

ต้องเข้าใจว่า การที่ตัวคุณถูกเชื่อมโยงอยู่กับจักวาลนั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญจริงๆ เพราะอะไร?

ก็เพราะว่า คุณจะปลดปล่อยพลังงานออกมา ส่งผลกระทบต่อการสั่นสะเทือนของดาวเคราะห์โลกหนะสิ
แล้วโลกก็จะถ่ายทอดสัญญาณนี้ไปสู่ดวงอาทิตย์ต่อ และดวงอาทิตย์ก็จะถ่ายทอดสัญญาณนั้นต่อไป
สู่ใจกลางของกาแล็กซี่ ที่ๆมันจะออกไปสู่เทหะวัตถุ (celestial bodies) อื่นๆอีก

ในทางกลับกัน เทหะวัตถุต่างๆ ก็จะส่งผ่านสัญญาณสู่ศูนย์กลางกาแล็กซี่
จากนั้นมันก็จะถูกส่งผ่านไปสู่ดวงอาทิตย์ แล้วดวงอาทิตย์ก็จะส่งผ่านสัญญาณมาสู่โลก
และโลกก็จะส่งผ่านมาสู่ตัวคุณอีกต่อหนึ่ง

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล ล้วนเชื่อมโยงกันหมด
++




พวกเราสามารถเพิ่มระดับความซับซ้อนเข้าไปในรูปภาพนี้อีกก็ได้ เพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์
ของการกำทอนในทำนองเดียวกันนี้ ระหว่างดวงอาทิตย์ของเรา กับกาแล็กซี่ และกับเทหะวัตถุอื่นๆ
เช่น ซูเปอร์โนวาเป็นต้น เมื่อพวกเราเข้าใจถึงความเชื่อมโยงของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลแล้ว
พวกเราก็จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับทุกสรรพสิ่งได้อย่างมีจิตสำนึก

นั่นหมายความว่า การเปลี่ยนระดับในครั้งนี้ ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นกับเรา แต่หมายความว่า
พวกเรากำลังช่วยทำให้มันเกิดขึ้น และช่วยสร้างอนาคตให้กับตัวเราเองอยู่
และไม่ใช่กำลังเกิดขึ้นเฉพาะกับกาแล็กซี่ของเราเท่านั้น แต่บางที
อาจจะกำลังเกิดขึ้นกับจักรวาลทั้งมวลด้วยซ้ำไป


DNA ของพวกเรา กำลังถูกตั้งโปรแกรมใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
และกระตุ้นการทำงานร่างกายแห่งแสงสว่างของพวกเรา กาลเวลากำลังเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เพราะว่าพลังแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่

หลายคนเชื่อว่า เวลา 24 ชั่วโมงต่อวันของพวกเราในตอนนี้
ถูกหดให้สั้นลงเหลือเท่ากับ 16 ชั่วโมงของเวลาในสมัยก่อน

มันชัดเจนมาก ว่าดาวเคราะห์โลก มีความเกี่ยวข้องกับระบบสุริยจักรวาลอย่างไร
และมันก็มีความชัดเจนมากว่า พวกเรามีความเกี่ยวข้อง และเป็นส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์โลกอย่างไร


เมื่อดาวเคราะห์โลก ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มพลังงาน ที่ถูกส่งมาจากศูนย์กลางของกาแล็กซี่
พวกเราก็จะได้รับผลกระทบนั้นไปด้วย

ดาวเคราะห์โลก ก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ที่มีกระบวนการเจริญเติบโต และการเปลี่ยนรูปแบบ
เป็นของเธอเอง ซึ่งพัฒนาการของพวกเรา ก็จะสะท้อนถึงพัฒนาการของเธอด้วย

พวก เราและดาวเคราะห์โลก กำลังเพิ่มระดับความถี่ของการสั่นสะเทือนให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ทั้งพวกเราและดาวเคราะห์โลก ค่อยๆเข้าไปสู่มิติ หรือโลกแห่งความเป็นจริงที่สูงขึ้น

...............................................

แกนโลกจะพลิกกลับขั้ว" Pole Shift "



แกนโลกจะพลิกกลับขั้ว" Pole Shift "


แบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี 2012











จากการทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น

ในการค้นคว้าวิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้

การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี

ในประวัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์

ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจังดังต่อไปนี้

- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ

- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก

- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม

- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น

-แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ถ้าคุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้นอาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..